ว่าที่ทูตสหรัฐฯ ชูนโยบายช่วยไทยสกัดสแกมเมอร์ ผลักดันการค้า-ความมั่นคง

ข่าวต่างประเทศ Wednesday July 30, 2025 14:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ฌอน โอนีลล์ ผู้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (29 ก.ค.) ในการพิจารณาเพื่อยืนยันคุณสมบัติก่อนดำรงตำแหน่ง โดยว่าที่ทูตสหรัฐฯ ได้นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมผลประโยชน์ของอเมริกาในเอกสารที่เตรียมไว้ ซึ่งได้กล่าวถึงทั้งในประเด็นความร่วมมือกับไทยเพื่อสกัดภัยจากเครือข่ายสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การป้องกันประเทศ และการค้า

นายโอนีลล์ได้เน้นย้ำถึงผลประโยชน์สำคัญที่สหรัฐฯ มีในไทย โดยอ้างประสบการณ์ที่เคยมาประจำการในไทยแล้ว 2 ครั้งที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่

นายโอนีลล์ระบุในเอกสารว่า หากได้รับการรับรองเป็นเอกอัครราชทูต ตนก็พร้อมทำงานกับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และพันธมิตรไทย เพื่อผลักดันเป้าหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้สหรัฐอเมริกา "ปลอดภัยขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมั่งคั่งขึ้น" โดยจะ "ดูแลและปกป้องความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมืองอเมริกันกว่า 80,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และอีกกว่าหนึ่งล้านคนที่เดินทางมาเยือนในแต่ละปี" พร้อมย้ำว่านี่คือเป้าหมายหลัก ซึ่งเป็นความสำคัญอันดับแรกตั้งแต่สมัยเป็นกงสุลใหญ่ที่เชียงใหม่ และจะยังคงเป็นเช่นนั้นในฐานะเอกอัครราชทูต

ในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาตินั้น นายโอนีลล์ได้เน้นย้ำถึงการแพร่หลายของศูนย์หลอกลวงทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อทั้งพลเมืองอเมริกันและคนไทย คาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้ได้หลอกลวงเงินจากชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567 และยังมีการค้ามนุษย์คนไทยและชาติอื่น ๆ ไปบังคับให้ทำผิดกฎหมาย หากได้รับการรับรอง นายโอนีลล์ให้คำมั่นว่าจะ "มุ่งเน้นเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายกับประเทศไทยที่แข็งแกร่งอยู่แล้วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อปิดศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ และเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดและผู้ค้ามนุษย์ในภูมิภาคต่อไป"

ในด้านการป้องกันประเทศ นายโอนีลล์ยืนยันว่า การเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ กับประเทศไทยเป็นหัวใจสำคัญ โดยไทยเป็น "หนึ่งในห้าประเทศพันธมิตรตามสนธิสัญญาในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นพันธมิตรหลักนอกนาโต้ (NATO) และเป็นพันธมิตรเพียงรายเดียวของสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป" นายโอนีลล์เปิดเผยว่าทั้งสองประเทศ "เข้าร่วมการฝึกซ้อมและการแลกเปลี่ยนทางทหารร่วมกันหลายครั้ง อาทิ คอบร้าโกลด์ ซึ่งเป็นการฝึกร่วม/ผสมทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก" นอกจากนี้ ประเทศไทย "ยังซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารของสหรัฐฯ และนำหลักการทางทหารของสหรัฐฯ มาใช้" ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกันและการป้องปรามในการป้องกันประเทศ

สำหรับประเด็นการค้า นายโอนีลล์ยังให้คำมั่นว่าจะ "ส่งเสริมความรุ่งเรืองของอเมริกา" ผ่านการทูตเชิงพาณิชย์ที่เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเป้าหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ในการทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้า "เป็นธรรม เสรี และต่างตอบแทน" โดยการค้านับเป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2376 ซึ่งเป็นปีที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ครั้งแรก ทว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย รวมถึงอีกหลายประเทศ "เริ่มไม่สมดุล" อย่างไรก็ดี นายโอนีลล์หวังว่า "มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่และดีงาม" ตามที่ประธานาธิบดีลินคอล์นเคยกล่าวไว้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลและเป็นธรรมนั้น จะเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งชาวอเมริกันและชาวไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ